เกษตรกรนิยมปลูกข้าวฟ่างเป็นพืชรองหลักจากปลูกพืชหลักไปแล้ว โดยทั่วไปจะปลูกข้าวฟ่างในช่วงปลายฤดูฝน (ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) เพื่อให้ข้าวฟ่างสุกแก่และเก็บเกี่ยวในฤดูหนาว ซึ่งมีสภาพอากาศแห้ง ปลอดจากฝน ช่วยให้เมล็ดข้าวฟ่างแห้งดี ไม่มีเชื้อราเข้าทำลายเมล็ดข้าวฟ่าง





ควรไถดินครั้งแรกด้วยไถผาน 3 ให้ลึก 5-6 นิ้ว ตากดินไว้ 7-10 วัน แล้วจึงพรวนด้วยไถผาน 7 เพื่อย่อยดิน ซึ่งจะช่วยให้ต้นอ่อนข้าวฟ่างงอกพ้นดินได้ง่ายและเจริญเติบโตดี มีวัชพืชรบกวนน้อย


ที่เหมาะสมมีหลายวิธี ได้แก่
1. หยอดเป็นหลุม ให้ระยะระหว่างแถวห่างกัน 60 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุมห่างกัน 30 เซนติเมตร หยอด 3 เมล็ด/หลุม
2. โรยเป็นแถว โดยโรยเป็นแถวในร่องที่ลึก 2-3 เซนติเมตร แล้วกลบเมล็ด เมื่อต้นอ่อนอายุ 14-15 วัน ก็ถอนแยกออกให้ระยะระหว่างต้นห่างกัน 10 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 60 เซนติเมตร
3. ปลูกแบบยกร่อง โดยใช้รถไถร่องให้ระยะระหว่างร่องห่างกัน 60 เซนติเมตร หยอดเป็นหลุมหรือโรยเป็นแถว แล้วถอนแยกออกเหมือนหยอดหลุมหรือโรยแถวก็ได้


ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่ถ้าดินขาดธาตุอาหารอาจจะใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยรองพื้น เช่น สูตร 16-20-0 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ แต่ถ้าต้นข้าวฟ่างยังเจริญเติบโตไม่ดีอาจใส่ปุ๋ยไนโตรเจนพวกแอมโมเนียมซัลเฟต ในอัตรา 30 กิโลกรัม เมื่อข้าวฟ่างอายุได้ 25 วัน



ใช้แรงงานคนทำรุ่นเมื่อข้าวฟ่าง อายุ 25-30 วัน หรือใช้อาทราซีนฉีดพ่นเพื่อคุมวัชพืช ในอัตรา 400 กรัม/ไร่ หลังจากหยอดเมล็ดและดินยังมีความชื้นอยู่