จะต้องมีการผสมเกสร ต้นไม้บางชนิดเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ ในดอกเดียวกัน ก็จะผสมกันเองได้ แต่ต้นไม้อีกหลายชนิดเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมียอยู่คนละดอกหรือคนละต้น จำเป็นต้องอาศัยสิ่งอื่นช่วย ในการผสมเกสร ลมเป็นพาหะสำคัญช่วยพัดเกสรตัวผู้ไปตกบนยอด เกสรตัวเมีย แต่มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของต้นไม้ทั้งหมดอาศัยสิ่งมี ชีวิตชนิดอื่นในการผสมเกสร เช่น หอย ทาก แมงมุม ไร นก ค้างคาว และแมลง เป็นต้น แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ มากที่สุด แมลงที่จัดอยู่ในประเภท ภมร จะอาศัยเกสรเป็นอาหารที่ |
![]() |
ให้โปรตีนและอาศัยน้ำหวานเป็นอาหารที่ให้พลังงานเกสรดอกไม้จะ ติดตามตัวแมลงจากดอกหนึ่งไปอีกดอกหนึ่งในขณะที่แมลงลงกินเกสร และน้ำหวานจากดอกไม้ มากอาศัยแมลงหลายชนิดไม่เฉพาะเจาะจง ผึ้ง จัดว่าเป็นแมลงช่วย ผสมเกสรที่สำคัญที่สุด เพราะในแต่ละเที่ยวบินที่ออกหาเกสรหรือน้ำหวาน ผึ้งจะไปที่ดอกไม้ของพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น ทำให้ไม่เกิดการปะปน หรือสูญเปล่าของละอองเกสร ผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจาก มีผึ้งช่วยผสมเกสรนั้น เมื่อประเมินแล้วมีมูลค่าสูงกว่าน้ำผึ้งและผลิตภัณฑ์ อื่น ๆ จากรังผึ้ง ดังนั้นในปัจจุบันถือว่าผลิตผลหลักจากอุตสาหกรรม การเลี้ยงผึ้ง คือการที่ผึ้งช่วยเพิ่มอัตราการติดผลให้แก่พืช ดังจะเห็น ว่ามีการให้บริการเช่าผึ้งเป็นรัง ๆ ไปวางไว้เป็นแห่ง ๆ ในสวนผลไม้ใน ช่วงเวลาที่ดอกไม้เริ่มบาน ชนิด นอกจากผึ้งที่ให้น้ำผึ้ง แล้วยังมีแมลงชนิดอื่น ๆ อีกเช่น ผึ้งอัลคาไล แมลงภู่และผึ้งป่าชนิดต่าง ๆ บ้าน เป็นต้น การเกษตร เช่น พวกด้วง พวกมวนและเพลี้ยต่างๆ ควรต้องพิจารณา ชั่งน้ำหนักดูในแต่ละสถานการณ์ว่าแมลงเหล่านี้ให้ประโยชน์หรือโทษ จะได้ปฏิบัติการอย่างถูกต้องเพื่อให้ผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่ที่มนุษย์เรา การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้แก่ สารเคมีฆ่าแมลง สารเคมีกำจัด วัชพืช และสารป้องกันกำจัดโรคพืช สารเคมีฆ่าแมลงจัดว่าเป็นสาร ที่มีอันตรายต่อผึ้งมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันมีสารเคมีฆ่า แมลงชนิดต่าง ๆ ทั้งถูกตัวตาย กินตาย หรือสารรมควัน ซึ่งล้วนแล้ว แต่มีอันตรายร้ายแรงต่อผึ้งทั้งนั้น และยังได้พัฒนาวิธีการใช้ให้ได้ผลดี ครอบคลุมเนื้อที่กว้างขวางขึ้น เช่น การพ่นสารเคมีทางอากาศเพื่อควบคุม แมลงศัตรูพืชไร่ แมลงศัตรูป่าไม้ เป็นต้น ทำให้ผึ้งและแมลงผสมเกสรใน บริเวณนั้นถูกทำลายไปด้วย ผลของสารพิษในสารเคมีฆ่าแมลงมิใช่จะ เพียงทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่มีผลในแง่การผสมเกสร ด้วย คือถ้าฉีดพ่นในช่วงดอกไม้บาน สารพิษจะทำลายความงอกของ เรณู ซึ่งทำให้การติดผลหรือเมล็ดของพืชลดลงอย่างมากด้วย ใช้สารเคมีฆ่าแมลงพยายามใช้อย่างมีขอบเขตเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เลือกใช้ชนิดที่มีพิษตกค้างสั้น และมีพิษเจาะจงกับแมลงที่ต้องการ ทำลายเท่านั้น ใช้สารที่ไม่มีพิษต่อผึ้งหรือลดความเข้มข้นของสารเคมี ที่ใช้ลงบ้างในช่วงดอกไม้บาน การฉีดพ่นควรกระทำในตอนเย็นพลบค่ำ หรือเช้าตรู่ไม่ควรฉีดพ่นในช่วงที่ผึ้งและแมลงผสมเกสรออกหาอาหาร ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องฉีดพ่นสารเคมีใกล้กับบริเวณที่มีการเลี้ยง ผึ้งควรคลุมรังผึ้งด้วยผ้ากระสอบเปียกชื้น ในขณะฉีดพ่นและหลังฉีดพ่น จนกว่าจะแน่ใจว่าพิษของสารเคมีสลายไปแล้ว ความร่วมมือระหว่าง ชาวสวนชาวไร่และเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดผลดีกับ ทุกฝ่าย ข้อปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นหากได้กระทำอย่างเคร่งครัดโดยสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันอันตรายอันจะเกิดกับผึ้งและแมลงผสมเกสร ซึ่งการ อนุรักษ์แมลงเหล่านี้ช่วยให้สารเคมีเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรขึ้นได้ เป็นอย่างมาก |
![]() |