การขยายพันธุ์

การขยายพันธุ์มะม่วงสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะ เมล็ด การตอน การติดตาและการทาบกิ่ง เป็นต้น แต่วิธีที่ นิยมทำกันมากในปัจจุบันคือ การทาบกิ่ง

1. การเพาะเมล็ด

โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรงและเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่าง ๆ เช่น ก ารติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จ ำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรงส่วนข้อเสียคือออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอนหรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป

1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนัก อาจจะเพาะในกระบะเพาะหรือในภาชนะต่าง ๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่และถุง พลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมาก ๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูกหรือนำไปทาบกิ่งต่อไป

1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรงไม่แคระแกร็น ผลที่จะเก็บมาต้องแก่จัดหรือสุกปากตะกร้อ ผลควรมีขนาดและน้ำหนักเท่า ๆ กัน สำหรับเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็นต้นตอควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรง ทนทาน เช่น มะม่วงกะล่อนแก้ว พิมเสนแดง อกร่อง เป็นต้น เพราะมะม่วงพวกนี้จะแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี

1.3 การเตรียมเมล็ด เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้วควรคัดเมล็ดโดยก ารนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำ ไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า วิธีที่จะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็ว คือ ใช้มีดสับที่ปลายเมล็ดตอนที่บาง ๆ ออกทิ้งไปเพื่อให ้ เมล็ดโปร่ง อากาศและน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย จะทำให้งอกเร็วขึ้น และถ้ามีแรงงานพอให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดอ อกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก

1.4 วิธีเพาะเมล็ด สำหรับการเพาะในภาชนะต่าง ๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 1-2 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลง เพาะให้เพาะเป็นแถว ๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง จะทำให้เมล็ดงอกดีและต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก ประมาณ 20 วันหลังจากเพาะเมล็ดก็จะงอก

การขุดต้นกล้าใส่กระถางหรือถุงพลาสติกเพื่อนำไปทาบกิ่งให้เอาเฉพาะต้นที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปหลังจากงอก หรือใบมะม่วงเริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวแก่แล้ว ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้นควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกชำไว้ในกระถางเสียก่อนเพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก

2. การทาบกิ่

เป็นวิธีที่นิยมกันมาก ต้นที่ได้จากการทาบกิ่งจะตรงตามพันธุ์เดิมและยังมีรากแก้วที่แข็งแรงเช่นเดียวกับการปลูกด้วยเมล็ด ต้นที่ได้ก็ตกผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด การทาบกิ่งนั้นทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

2.1 การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่จะนำมาทาบกิ่งก็คือ ต้นกล้ามะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดดังที่กล่าวถึงแล้ว อายุของต้ นกล้าที่จะใช้เป็นต้นตอควรมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป หรือลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (สำหรับต้นกล้าที่ง าม ๆ อายุเพียง 3 สัปดาห์ก็จะโตพอที่จะใช้เป็นต้นตอได้) และใบชุดแรกเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่แล้ว เมื่อต้องการจะทาบกิ่งก็ขุดแยก ต้นตอออกจากกระบะเพาะนำไปชำในถุงพลาสติกที่มีขนาดปากถุงกว้าง 4-5 นิ้ว ใส่ขุยมะพร้าวที่แช่น้ำเตรียมไว้ลงไปให้เต็ม ถุง ผูกปากถุงอย่าให้แน่นมาก ก็พร้อมที่จะนำไปทาบกิ่งได้

2.2 การเลือกกิ่งพันธุ์ กิ่งของต้นพันธุ์ดีที่ต้องการจะทาบนั้น ให้เลือกกิ่งที่มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดของต้นตอ จะใหญ่กว่าสักเล็กน้อยก็ได้ แต่อย่าให้ใหญ่กว่ามากนัก (ถ้าใหญ่กว่ามากให้ใช้ต้นตอหลายต้น) กิ่งพันธุ์ควรเป็นกิ่งที่กำลังเจริญเติบโตไม่แคระแกรน กิ่ งมีลักษณะกลมไม่เป็นเหลี่ยม กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่กว่าต้นตอมากนักและไม่มีโรคแมลงรบกวน ถ้าได้กิ่งที่ตั้งตรงจะดีมาก เพราะสะ ดวกในการทำงาน ส่วนกิ่งที่เอนก็ใช้ได้ แต่กิ่งที่ห้อยย้อยลงล่างไม่ควรใช้ทาบกิ่ง ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้ผูกกิ่งให้ตั้งตรงเสียก่อน

2.3 ฤดูกาล ฤดูที่เหมาะที่สุดคือ ฤดูฝนเพราะต้นไม้กำลังเจริญเติบโต จะทำให้กิ่งติดกันได้ดีและเร็วกว่า แต่ถ้าทั้งต้นตอและยอดพันธุ์มีความสมบูรณ์จะทาบกิ่งตอนไหนก็ได้

2.4 วิธีทาบกิ่ง เมื่อเตรียมกิ่งพันธุ์และต้นตอเรียบร้อยแล้ว ใช้มีดคม ๆ เฉือนที่กิ่งพันธุ์ ลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยเฉือนยาว ประมาณ 2 นิ้ว แล้วเฉือนบนต้นตอให้ห่างจากปากถุงพลาสติกราว 2-3 นิ้ว เป็นปากฉลามยาวพอ ๆ กับรอยเฉือนบนกิ่งพันธุ์ ยอดของต้นตอจะถูกตัดขา ออกไป เอารอยเฉือนของต้นตอประกบทาบเข้าที่รอยเฉือนของกิ่งพันธุ์ให้เปลือกของทั้งสองสัมผัสกันให้มากที่สุด แล้วพันด้วยแ ถบพลาสติกให้แน่น เสร็จแล้วใช้เชือกผูกถุงที่หุ้มโคนต้นตอให้ติดกับกิ่งพันธุ์ เพื่อไม่ให้ต้นตอแกว่ง


เมื่อทาบกิ่งครบ 30 วัน ให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดีลึกประมาณครึ่งกิ่งในระหว่างนี้ให้คอยดูความชื้นในถุงด้วย ถ้าเห็นว่าขุยมะพร้าวในถุงแห้งเกินไปให้รดน้ำให้เมื่อครบ 45 วัน รอยทาบของกิ่งจะประสานกันสนิท ก็ตัดกิ่งพันธุ์ออกมาชำได้

2.5 การชำต้นทาบกิ่ง เมื่อตัดต้นทาบกิ่งออกมาแล้ว ใหห้แกะเอาถุงพลาสติกที่หุ้มโคนอยู่ออก เอาไปชำในน้ำสักพักหนึ่ง ก่อนแล้วจึงนำไปชำในดิน ต้นที่เห็นว่าขุยมะพร้าวแห้งมาก อาจชำไว้ในน้ำก่อนสัก 1-3 วัน จึงนำไปชำในดิน การชำน้ำทำได ้ดังนี้คือ นำต้นทาบกิ่งวางในกระป๋อง หรือกาละมัง เติมน้ำลงไปสูงประมาณ 1 ใน 3 ของกระเปาะที่หุ้มรากอยู่ อย่าใส่น้ำจนท่วมกระเปาะ

เมื่อชำน้ำเสร็จแล้วจึงนำไปชำในดิน ภาชนะที่สามารถใช้ชำได้แก่กระถางหรือถุงพลาสติก เป็นต้น โดยแกะขุยมะพร้าวออก บ้าง แล้วใส่ดินลงไป กดดินรอบ ๆ โคนต้นให้แน่นพอประมาณแล้วปล่อยให้ต้นทาบกิ่งนี้เจริญต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน ต้นก็จะตั้งตัวแข็งแรง นำไปปลูกหรือจำหน่ายได้

ข้อควรระวังคือ อย่ารีบตัดกิ่งที่รอยทาบยังติดกันไม่ดี หรือตัดมาแล้วนำไปปลูกหรือจำหน่ายเลยโดยไม่มีการพักฟื้นต้นเพราะจะมีผลทำให้ต้นตายมากในเวลาต่อมา ผู้ที่ซื้อต้นทาบกิ่งมาปลูกจึงควรพึงระวังในเรื่องนี้ให้มาก